หลายคนกังวลว่าการทำ SEO ในปี 2025 นี้ ทำไมมันยากซะเหลือเกิน เนื่องจากทาง Google มีการปรับอัลกอริทึมอยู่เสมอ การประมวลผลและจัดอันดับผลการค้นหา ยังต้องดูในเรื่องของการทำคุณภาพเนื้อหา ลิงค์ รวมไปถึงอัลกอริทึมของ Google ที่เป็นตัวจัดอันดับให้กับเว็บไซต์ของคุณ และเพื่อเป็นแนวทางการทำ SEO ที่ดีที่สุดและได้ผลลัพท์ในแบบที่คุณวางแผนไว้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ 5 อัลกอริทึมของ Google ในปีนี้กัน

1. วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ อย่าง อัตราการคลิก (CTR) หรือระยะเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื้อหาที่ไม่ตรงตามความต้องการของผู้ที่เข้ามาอ่าน หรือหน้าเว็บไซต์โหลดช้ามากเกินไป อาจจะทำให้คนกดเข้ามายังหน้าเว็บแล้วออกไปทันที ไม่มีการคลิกไปยังหน้าอื่นภายในเว็บไซต์
อะไรที่ทำให้คนเข้าชมเว็บไซต์ของเราได้นานขึ้น?
เว็บไซต์ของเรามีอัตราการคลิกที่สูง นั่นบางบอกได้ว่า เนื้อหาเว็บไซต์ของคุณนั้นน่าสนใจ และ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณภาพ
- บทความอ่านง่าย ความครบถ้วนของเนื้อหา
- หน้าเว็บใช้งานง่าย โหลดไว
- ความกระชับของเนื้อหาที่อ่านแล้วเข้าใจ

2. ใช้ Long-tail Keywords แทนที่จะยัดคีย์เวิร์ดไปแบบตรง ๆ
คำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง กลายเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการทำ SEO ลองเปลี่ยนการใส่คีย์เวิร์ดนั้นไปตรง ๆ โดยการใช้คีย์เวิร์ด Long-tail เพื่อสร้างเนื้อหาที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยอาจจะใช้เครื่องมือ Google Keyword Planner, Ahrefs, หรือ Ubersuggest เพื่อช่วยดูคำค้นหาที่มีคนค้นหาจริง ๆ หากคุณใส่คำค้นหา หรือคีย์เวิร์ดลงไปบนบทความหรือหน้าเว็บไซต์ของคุณเยอะ ๆ อัลกอรึทึมของ Google จะตรวจจับได้ และอาจจะถูกลดอันดับเว็บไซต์
วิธีใช้ Long-tail Keywords แทนการยัดคีย์เวิร์ด
- เราขายรองเท้า รองเท้าสวย รองเท้าคุณภาพดี ซื้อรองเท้ากับเราได้เลย รองเท้าราคาถูก เป็นเนื้อหาซ้ำซาก อ่านไม่ลื่น ดูยัดคีย์เวิร์ดมากเกินไปซึ่งไม่ได้เป็นผลดีเท่าไหร่
ลองเปลี่ยนมาเป็น
- เราขายรองเท้าคุณภาพดีราคาถูก ที่ออกแบบมาเพื่อความสวยงามและความสบาย เลือกรองเท้าสำหรับทุกโอกาสกับเราได้เลย
จะทำให้อ่านง่ายขึ้น Long-tail Keywords “รองเท้าคุณภาพดีราคาถูก” และ “รองเท้าสำหรับทุกโอกาส” เห็นมั้ยว่าจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

3. ปรับเนื้อหาให้น่าอ่าน เพื่อลดการ Bounce Rate
นอกจากเนื้อหาที่มีคุณภาพแล้ว เรายังต้องทำให้เนื้อหาครบถ้วนและกระชับเข้าใจง่ายที่สุด นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานแล้วยังลดโอกาสการกดเข้าแล้วออกเลยของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้อีกด้วย
Google สามารถตรวจสอบคุณภาพเนื้อหาได้ ว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหรือเปล่า เนื้อหาคุณภาพต่ำ เนื้อหาซ้ำซ้อน เนื้อหาน้อยเกินไป การ Duplicate Content จากที่อื่น ก็จะไม่ถูกดึงอันดับขึ้นมาแสดงได้

4. คุณภาพของ Backlinks
Backlinks จากเว็บคุณภาพต่ำ หรือลิงก์ที่มาจากเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีคุณภาพอาจจะเป็น บทความสั้น ๆ ไม่มีสาระ หรือใช้ AI สร้างแบบลวก ๆ หรือเป็นลิงค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือมีค่า DA/DR ต่ำมาก ๆ
อาจทำให้อันดับพุ่งชั่วคราว แต่เสี่ยง Google ตรวจจับและอาจแบนเว็บเราทั้งหมด แต่ความเสียหายระยะยาวไม่คุ้มค่า
ลิงก์คุณภาพดีต้องเป็นยังไง?
- มาจากเว็บที่น่าเชื่อถือ เว็บข่าวดัง, บล็อกที่มีชื่อเสียง, หรือเว็บในวงการเดียวกัน
- มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง บทความเกี่ยวกับ SEO ลิงก์ที่มาต้องเกี่ยวกับ SEO
- มี Traffic และ Engagement เป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าใช้งานจริง

5. Mobile-Friendly มีผลต่ออันดับ
Mobile-Friendly ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่หรือรองรับในทุกหน้าจอ สำคัญต่อการทำ SEO มาก ๆ Google จะวัดพฤติกรรม เช่น Time Spent on Page และ CTR ถ้าเว็บใช้งานยากบนมือถือ ตัวชี้วัดเหล่านี้จะแย่ลง เว็บที่ปรับเป็น Mobile-Friendly เห็น Traffic เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20-30% เว็บไซต์ที่รองรับมือถือจะถูกอันดับที่ดีขึ้นนั่นเอง
อัลกอริทึมของ Google มีการอัพเดตและพัฒนาอย่างอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพของผลการค้นหา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO นอกจากจะสร้างเนื้อหาคุณภาพ , ปรับปรุง UX- UI , Backlinks และสิ่งสำคัญคือผู้เข้าใช้งานที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า เว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพหรือเปล่า อย่างไรก็ตามเราสามารถใช้ทั้ง 5 เทคนิคนี้ เพื่อปรับปรุงการทำ SEO ของคุณให้ดีขึ้นเพื่อให้ Google จัดอันดับให้กับเว็บไซต์ของคุณ